ผมเริ่มเรียนวิชาสิบลัคนากับอาจารย์โปร่งที่โคราชเมื่อปี 2533 จำได้แม่นเลยว่าไปนั่งเรียนกับท่านเพียงสามครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งเป็นวันเสาร์ก็เข้าไปเรียนตามใจสะดวก พอเข้าไปในห้องก็แปลกใจเพราะพบศิษย์รุ่นพี่เป็นชายสองท่านกำลังนั่งเรียนอยู่ก่อน ที่แปลกใจเพราะวันนั้นทุกคนต่างพร้อมใจใส่เสื้อสีฟ้ามาเรียนทั้งสามคน หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้งานทำที่กรุงเทพฯและไม่ได้กลับไปเรียนต่ออีกเลย ช่วงแรกนั้นการพยากรณ์ของผมก็เป็นไปอย่างราบรื่น บางเรื่องที่ไม่แน่ใจก็มีเหตุดลใจให้ทายออกไปและกลับถูกต้องอย่างน่าประหลาด บางคนพอผูกดวงเสร็จผมก็พิจารณาเพียงนิดหน่อยก็ทายได้และถูกต้องตรงเรื่องเสียด้วย จนเริ่มรู้สึกว่าจะทายใครสักคนต้องระวังและรอบคอบให้มาก กลัวคนที่ถูกทายจะเกิดแต่เรื่องร้ายๆตามคำพูดของเรา
ต่อมาไม่กี่ปีผมก็ทราบข่าวว่าอาจารย์โปร่งถึงแก่กรรม หลังจากนั้นไม่นานผมเริ่มจำสิ่งที่เรียนมาจากอาจารย์ได้น้อยลง การอ่านดวงชะตาที่เคยง่ายกลับเป็นเรื่องยาก เป็นอย่างนั้นมาอีกหลายปีจนกระทั่งผมมาพบอาจารย์เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์ โดยเข้าไปเป็นลูกค้ารับคำพยากรณ์จากท่านแต่ก็ไม่คิดจะเรียนต่อเพราะถือว่ามีครูบาอาจารย์อยู่ก่อนแล้ว น่าประหลาดที่ความรู้เก่าๆกลับคืนมาได้เอง และสามารถกลับมาพิจารณาดวงชะตาได้ดีเหมือนเดิม
ความจริงก่อนที่จะได้พบอาจารย์เกรียงศักดิ์ ผมได้พบกับคุณแม่ของท่านก่อนคืออาจารย์ชื่นจิตต์ เทศถมทรัพย์ ครั้งนั้นผมต้องการไปพบท่านอาจารย์อรุณ แต่พอไปถึงก็ทราบว่าท่านอาจารย์อยู่ที่วัดวิเวการาม ชลบุรี จะสอนศิษย์เฉพาะปลายเดือนนอกพรรษา ท้ายที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้พบท่านอาจารย์อรุณเลยสักครั้งเดียว
ส่วนโหราจารย์สิบลัคน์ท่านอื่นที่เคยไปพบก็มีอาจารย์ชำนาญ โกกะอินทร์ สำนักท่านอยู่ถึงฉะเชิงเทราก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปหาท่านถึงสามครั้ง
ในระยะที่ไม่ได้เรียนกับอาจารย์ท่านใด ผมก็ศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านหนังสือและบทความของโหราจารย์สิบลัคนาหลายๆท่าน มีท่านหนึ่งที่ผมสนใจคือท่านที่ใช้นามปากกาว่า “สีดิน” เป็นเพราะลีลาการเขียนบทความของท่านแตกต่างจากโหรร่วมสมัย ใช้คำง่ายๆเป็นกันเอง จนมากระทั่งวันหนึ่งผมก็ได้มาพบท่านและฝากตัวเป็นศิษย์
สิ่งที่เหลือเชื่อได้เกิดอีกครั้งหนึ่ง ในราวปลายปี 2553 ผมได้มีโอกาสไปพยากรณ์การกุศลหาเงินทอดผ้าป่าบูรณะวัดที่โคราช โดยงานจัดเป็นงานใหญ่ มีกิจกรรมรื่นเริงอื่นๆได้แก่การแสดงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ ฯลฯ มีผู้คนมาร่วมงานวันละนับพันคน ผมต้องไปนั่งพยากรณ์สองวันคือคืนวันศุกร์และคืนวันเสาร์ คืนแรกผู้คนบางตาเพราะเป็นวันสุดสัปดาห์ แต่ก็เป็นวันที่ผมถูก “ลองของ”มากที่สุด มีอาจารย์ท่านนึงเธอบอกว่าสอนทางจิตวิทยาขอให้ตรวจดวงให้หน่อย พอผมวางดวงก็รู้เลยว่าต้องเป็นด็อกเตอร์ เลยทายว่าคุณจบอย่างต่ำก็ปริญญาโท เธอแกล้งเฉไฉว่าจบแค่ปริญญาตรีและขอให้พยากรณ์ต่อ ผมก็ทายไปจนจบกระบวนความ เพื่อนของเธอที่นั่งฟังอยู่ด้วยให้ผมดูดวงต่อ เธออยากรู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร วางดวงเสร็จก็รู้ว่าเธอเป็นมะเร็งและคงอยากลองภูมิเลยทายไปว่า คุณป่วยเป็นโรคเรื้อรัง รักษาหายยาก เพียงเท่านี้เธอก็อมยิ้ม ยังมีเด็กสาวอีกรายเอาเวลาตกฟากผิดมาขอดูดวง ผมพิจารณาดูแล้วเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเกิดในเวลานั้น เลยบอกให้เธอกลับไปถามเวลาเกิดจากพ่อแม่มาใหม่ คืนถัดมาซุ้มดูดวงของผมแน่นขนัด ทั้งคนหนุ่มคนสาวและเด็กวัยรุ่นฐานะดีมีชาติตระกูลต่างมารอคิวดูดวงไม่ขาดสาย ผมถึงกับระลึกคุณครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชานี้ไว้ให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และตลอดการพยากรณ์เหมือนจะมีอะไรมาดลใจให้ทายไปได้โดยไม่มีคำท้วงติงเลย
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ได้ประสบกับตัวเอง จึงขอนำมาบอกเล่าว่าครูบาอาจารย์สายสิบลัคนาท่านไม่ได้อยู่ไกลจากศิษย์เลย
23 ก.ย. 2556
***ผมมาระลึกได้ว่า ตอนเป็นเด็กอายุราว 12 ปี ช่วงนั้นผมไปอยู่กับแม่ที่วัดท่าซุง อยู่มาวันหนึ่งก็มีกลุ่มคนคณะหนึ่งมาที่วัด ด้วยความอยากรู้ตามประสาเด็กก็เดินตามไปดู
แต่ก็ไม่รู้จักใครสักคน แม่มากระซิบบอกว่าท่านที่นำคณะมาคือท่านอาจารย์อรุณ ครูโหรสายสิบลัคนา เวลานั้นผมยังไม่เข้าใจในศาสตร์นี้ จึงได้แต่เพียงรับฟัง
เป็นอันว่าชีวิตผมได้เคยพบท่านพระอาจารย์อรุณโดยบังเอิญครั้งนึง
แต่มานึกแล้วคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน***
เพิ่มเติมเมื่อ 21 ก.ย. 2561